โครงการ “รวมพลังตามรอยพ่อฯ” ปี 6

ชูเป้าหมาย “เอามื้อ” ในพื้นที่โครงการตามแนวพระราชดำริฯ
ขยายผลจัดการ ดิน-น้ำ-ป่า ตามศาสตร์พระราชา
เดินทางก้าวสู่ปีที่  6 อย่างต่อเนื่อง กับโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ตั้งเป้าจัด 4 กิจกรรมเอามื้อ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการในพระราชดำริฯ มากำหนดพื้นที่เป้าหมาย เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงแสดงความห่วงใยประชาชนต่อปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง พร้อมสานต่อแนวทางศาสตร์พระราชาด้านบริหารจัดการดิน-น้ำ-ป่าอย่างยั่งยืน
ปีนี้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ยังคงขับเคลื่อนตามแนวคิด     “แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี” ด้วยการส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จของผู้นำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามสภาพภูมิสังคม พร้อมขยายผลสำเร็จของโครงการฯ จากลุ่มน้ำป่าสักสู่ลุ่มน้ำอื่นๆ ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศไทย สู่การแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งอย่างยั่งยืน
 “โครงการฯ นี้ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมของคนที่นำแนวทางศาสตร์พระราชาไปลงมือปฏิบัติ ส่งผลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ นั่นนับเป็นผลสำเร็จของโครงการฯ  ส่วนแนวทางการขับเคลื่อน   คือการสร้างและพัฒนาคนให้มีคุณภาพมีองค์ความรู้เป็น      ‘คนมีใจ’ ที่เมื่อรวมตัวกันก็จะเป็น ‘เครือข่ายที่เข้มแข็ง’ นำไปสู่การสร้าง ‘ศูนย์เรียนรู้’ เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่การลงมือปฏิบัติ สร้างคนมีใจต่อไปไม่สิ้นสุด จนบรรลุผล หยุดท่วม-หยุดแล้งอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย ซึ่งโครงการฯ ในปัจจุบันได้ขยายผลออกไปถึง 24 ลุ่มน้ำแล้ว” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว
  “ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของระยะที่ 2 คือ การขยายผลในระดับทวีคูณ หรือ แตกตัว เพื่อสร้างคน สร้างครู สร้างเครื่องมือยกระดับศูนย์เรียนรู้สู่การศึกษาตลอดชีวิต (บ้าน วัด โรงเรียน) โครงการฯ จึงยังคงดำเนินงานต่อเนื่องด้วยแนวคิด ‘แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี’ เพื่อชี้ให้เห็นตัวอย่างการ ‘แตกตัว’ ขยายผลจากลุ่มน้ำป่าสักไปยังลุ่มน้ำอื่นๆ โดยนำกลยุทธ์การ ‘เอามื้อสามัคคี’ หรือ การลงแขกตามประเพณีดั้งเดิมของคนไทยมาเป็นกลวิธีในการขับเคลื่อน เพื่อประสานความสามัคคีเชื่อมโยงและขยายเครือข่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ในสภาพภูมิสังคมที่แตกต่างกัน โดยในปีหน้าที่จะผลักดันให้ไปสู่การขับเคลื่อนในระดับนโยบาย สู่เป้าหมายการขยายผลจากลุ่มน้ำป่าสักครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำทั่วในประเทศไทย” อ.ไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และตัวแทนสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง เครือข่ายภาควิชาการกล่าว
“เชฟรอนให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แล้ว เนื่องจากตรงกับแนวคิดการทำโครงการเพื่อสังคมของเรา ที่มุ่งเน้นการสร้างคน องค์ความรู้ และจิตสำนึก ส่วนใหญ่จึงทำกันในระยะยาว โครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) และสอดคล้องกับนโยบายเพื่อสังคมทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการศึกษา ด้วยการเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่การลงมือปฏิบัติ ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต ที่ช่วยสร้างชุมชนเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นั่นคือการฟื้นฟู ดิน น้ำ ป่า และด้านการส่งเสริมให้พนักงานมีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม ซึ่งพนักงานเราได้เข้าร่วมกิจกรรมในทุกๆ ปีเป็นจำนวนหลายร้อยคน เหนือสิ่งอื่นใดคือความมุ่งมั่นในการสืบสานพระราชปณิธานต่อไป” นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด แกนนำภาคเอกชน กล่าว
“ตามแนวคิดของปีนี้ โครงการฯ จึงกระจายตัวจัดกิจกรรมใน 4 พื้นที่ คือ กรุงเทพฯ จันทบุรี สระบุรี และน่าน โดยนำเสนอผ่าน ‘คนต้นแบบ’ ที่ใช้ศาสตร์พระราชาแก้ปัญหาในพื้นที่ของตนเองจนประสบความสำเร็จ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นต่อๆ ไป” นายอาทิตย์ กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ โครงการฯ เริ่มกิจกรรมแรกที่ฐานธรรมธุรกิจ พระราม 9 กรุงเทพฯ เพื่อสร้างศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชากลางเมืองหลวง ก่อนเดินทางไปอีก 3 แห่งในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริฯ ได้แก่ จ.สระบุรี ซึ่งอยู่ใน ลุ่มน้ำป่าสัก อันเป็นลุ่มที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใย เพราะมีความลาดชันสูงทำให้จัดการได้ยากที่สุด และเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ ถัดมาที่ อ.ท่าใหม่ จ. จันทบุรี   ด้วยแรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จ            พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงห่วงใยประชาชนในจันทบุรีจากภัยแล้งและขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค และกิจกรรมสุดท้ายที่ จ. น่าน ในลุ่มน้ำน่าน       ด้วยแรงบันดาลใจจากโครงการในพระราชดำริหลายโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องด้วยทรงเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ให้คืนสู่สมดุลโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่าไม้ในจังหวัดน่านอย่างยั่งยืน
“การออกแบบในแต่ละพื้นที่ต้องคำนึงถึงหลักภูมิสังคม คือ ตามลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพดิน รวมไปถึงความต้องการ กำลังทุนทรัพย์และกำลังกายของเจ้าของพื้นที่ กิจกรรมแรกที่กรุงเทพฯ ซึ่งกำหนดให้เป็นศูนย์เรียนรู้ฯ กลางเมืองหลวง จึงมีการออกแบบหลักสูตรการอบรมและกิจกรรมให้เหมาะกับวิถีชีวิตของคนเมืองที่มีพื้นที่น้อยและมีเวลาน้อย” ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล รักษาการผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สจล.  หนึ่งในภาคีเครือข่ายภาควิชาการ กล่าว
ขณะที่พื้นที่ จ.จันทบุรี เป็นเมืองแห่งผลไม้ที่ต้องต่อสู้อย่างหนักกับเรื่องการใช้สารเคมี และการขาดแคลนน้ำ โครงการฯ จะนำองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์ไปเผยแพร่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับทั้งผู้ปลูกและผู้กิน พร้อมกับการสร้างหลุมขนมครกเพื่อเก็บกักน้ำ
ถัดมาที่ จ.สระบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มคนเมือง 13 ราย ที่ไปรวมตัวกันสร้างเป็นชุมชนขึ้น การออกแบบจึงไม่ใช่แปลงใครแปลงมัน แต่ออกแบบเป็นภาพรวมของชุมชนกสิกรรมวิถี เป็นตัวอย่างของการเกื้อกูลพึ่งพา และร่วมพัฒนาเกษตรตามศาสตร์พระราชาไปด้วย
พื้นที่สุดท้ายคือ จ.น่าน เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติ แนวคิดหลัก คือการสร้าง       หลุมขนมครกบนพื้นที่สูงในพื้นที่จำกัด เพื่อพิสูจน์ให้เห็ว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน และเปลี่ยนผู้บุกรุกเป็น  ผู้พิทักษ์ป่า
สำหรับพื้นที่ฐานธรรมธุรกิจ พระราม 9 นายพิเชษฐ  โตนิติวงศ์ ผู้จัดการธรรมธุรกิจ เล่าว่า “หลังจากธุรกิจโรงสีล้มละลาย ก็ได้เข้าร่วมอบรมที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง และได้พูดคุยกับ อ.ยักษ์(ดร.วิวัฒน์    ศัลยกำธร) และพี่โจน (โจน จันใด) จนเข้าใจในศาสตร์พระราชาที่ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาด้านการเกษตร แต่เป็นแนวทางการใช้ชีวิต จึงจัดตั้งโครงการ ‘ฐานธรรมธุรกิจ’ เพื่อเป็นตลาดกลางกระจายสินค้าของเครือข่ายทั่วประเทศ ในราคาเป็นธรรมต่อผู้ซื้อและผู้ผลิต เดิมเราหมุนเวียนจัดทำตลาดนัดธรรมชาติไปในที่ต่างๆ จนได้รับความอนุเคราะห์สถานที่จากเจ้าของโรงเรียนชาญวิทย์เก่าจึงได้ปักหลักที่เดียว นอกจากนั้น เรายังจัดเวิร์คช้อปต่างๆ ให้คนได้เรียนรู้จากการลงมือทำ   ซึ่งต่อไปวางแผนว่าจะทำร้านอาหารเพื่อแปรรูปผลผลิตจากเครือข่ายที่เหลือจากการขาย ตอบโจทย์คนเมืองที่ไม่ค่อยทำกับข้าวกินเอง เน้นเรื่องอาหารและสุขภาพเป็นหลัก กิจกรรมในวันนี้  จึงเกี่ยวกับการย่ำก้อนดิน เพื่อสร้างบ้านดินสำหรับร้านอาหารแปรรูป สอนเพาะเมล็ดพันธุ์กล้าไม้และทำแปลงผักในภาชนะต่างๆ แบบคนเมือง และเรียนรู้การปรุงดิน ทำปุ๋ย และสร้างโมเดล โคก หนอง นา ขนาดเล็กในพื้นที่ให้เป็นตัวอย่างสำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัด ในอนาคต ก็การวางแผนจะขยายงานไปที่เชียงใหม่ และบ้านศรีฐาน ยโสธรด้วย”
โดยภายหลังจากนี้ โครงการฯ ยังคงเดินทางไปเผยแพร่องค์ความรู้ของศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น มาสู่การลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ อีก 3 พื้นที่ ดังนี้
 วันที่ 8-10 มิถุนายน 2561 ไปเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ ที่บ้านสวนอิสรีย์เกษตรอินทรีย์และฟาร์มม้า  เมืองจันท์ของ แววศิริ ฤทธิโยธี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 
 วันที่ 24-26 สิงหาคม 2561 ชมตัวอย่างชุมชนกสิกรรมวิถี ณ หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ในพื้นที่ของบอย-พิษณุ นิ่มสกุล อ.หนองแซง จ.สระบุรี

 วันที่ 26-28 ตุลาคม 2561 ร่วมหาคำตอบว่าคนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างไร ณ พื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน    อ.เวียงสา จ.น่าน นำโดยบัณฑิต ฉิมชาติหัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน และสุดาพร พรหมรักษา เจ้าของพื้นที่บ้านน้ำปี้ ต.น้ำมวก อ.เวียงสา จ.น่าน
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking


ความคิดเห็น

  1. ธุรกิจโรงสีล้มละลาย

    แต่ไม่ได้ล้มละลายเพราะค้าขายทำธุรกิจเจ้งนะครับ โปรดเข้าใจให้ถูกตรงด้วย เจ้งจนล้มเกือบละลายเพราะไปช่วยชาวนากับรัฐบาลเมื่อปี๕๑ โดยการรับซื้อข้าวเปลือกในราคาสูงตามที่ชาวนาปิดถนนเรียกร้องให้รัฐบาลหาโรงสีมาซื้อ โรงสีเราก็ให้รัฐบาลไปหาคำสั่งซื้อจากต่างประเทศและเงินกู้เพื่อหมุนเวียนจ่ายค่าข้าวเปลือก

    สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด รัฐบาลไม่มีอะไรให้เลย คำสั่งซื้อก็ไม่มี เงินกู้ก็ไม่มี มีแต่โครงการรับจำนำข้าวเปลือก จึงยึดข้าวเปลือกทั้งหมดไปจำนำกับรัฐบาล ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ชาวนาเรียกร้อง โรงสีศิริภิญโญโดยนายพิเชษฐ โตนิติวงศ์ จึงต้องใช้เงินกู้ของโรงสีจ่ายค่าข้าวเปลือกชาวนาให้หมดในส่วนที่รัฐบาลไม่จ่ายให้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขนส่งการอบข้าวเปลือกจำนวน 45,800 เกวียน

    ท้ายที่สุดรัฐบาลโดย ธกส. ที่การเมืองส่งมาเป็นเจ้าภาพโครงการรับจำนำในปีนั้น ฟ้องต่อศาลปกครองต่อนายพิเชษฐ โตนิติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มนัสไรซ์ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ต้องหาลูกค้าจีนมาซื้อข้าวที่เป็นปัญหานี้เอง แต่มีข้าวสารที่สีแปรสภาพแล้วกับข้าวเปลือกที่กองเน่าอยู่ 18 เดือน ในราคาเดียวกันตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ฝ่ายข้าราชการเสนอเข้าไปโดยไม่เป็นธรรม จนในที่สุดส่งออกข้าวไปประเทศจีนได้ทั้งหมด แต่ได้คนละราคาจึงทำให้ได้เงินมาไม่ครบตามมติคณะรัฐมนตรี 18 ล้านบาทกว่ายังจะบังคับให้นายพิเชษฐ โตนิติวงศ์ รับผิดชอบจากคำสั่งของศาลปกครองอีกอย่างนั้นเลย

    ประสบการณ์ครั้งนั้นเรียกได้ว่า เป็นการช่วยเหลือชาวนาแบบคนรวย แต่เมื่อได้มาพบอาจารย์ยักษ์และพี่โจน จึงคิดได้ว่า องค์ความรู้ของอาจารย์ทั้งสองท่าน ที่เรียกว่า ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น จะสามารถช่วยเหลือชาวนาแบบคนจน ให้มีชีวิตที่มั่งคั่งยั่งยืนได้จริง จึงได้ขอทำโครงการยักษ์จับมือโจน ธรรมธุรกิจ หนาวแน่ๆ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น