นายสมหวัง พ่วงบางโพ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงมหาดไทย โดย กรมการพัฒนาชุมชน ดำเนินการรับสมัครผลิตภัณฑ์ OTOP จากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่ผ่านการลงทะเบียนในปี พ.ศ. 2557 – มีนาคม 2562 จากทั่วประเทศ เข้าร่วมโครงการคัดสรรสุดยอดสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ.๒๕๖๒ โดยในระดับภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร เปิดรับสมัครและพิจารณา ให้คะแนนในด้านผลิตภัณฑ์ ความเข้มแข็งของชุมชน การตลาด และความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ (ส่วน ก และ ข) ในช่วงระหว่างวันที่ 10-17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีความคึกคัก ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ OTOP ทั่วประเทศเป็นอย่างดี มีผู้สมัครและผ่านการพิจารณาคัดสรรเบื้องต้นจาก 76 จังหวัดทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น19,909 ผลิตภัณฑ์
แบ่งเป็นกลุ่มอาหาร 5,151.ผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่ม820 ผลิตภัณฑ์ ผ้า และเครื่องแต่งกาย6,865 ผลิตภัณฑ์ ของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก 5,368ผลิตภัณฑ์ สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร1,705 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะต้องเข้าสู่กระบวนการคัดสรรในระดับประเทศ เพื่อให้คะแนนด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ (ส่วน ค) เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะมีการประกาศผลและมอบเกียรติบัตรว่าสินค้าแต่ละรายการอยู่ในระดับ1 ดาว2 ดาว 3ดาว 4 ดาว หรือ 5ดาว ซึ่งการคัดสรรระดับประเทศกำหนดในระหว่างวันที่ 24พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2562 รวม 10 วัน ณ ตลาดต่อยอด เออีซี เทรด เซ็นเตอร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ด้านนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า การคัดสรรในระดับประเทศปีนี้มีความยิ่งใหญ่ โปร่งใส เป็นธรรม และมีมาตรฐาน เพราะกระทรวงมหาดไทย ได้มีการจับมือและผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานถึง 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งได้มีการระดมผู้เชี่ยวชาญในสินค้า OTOP แต่ละประเภท มากกว่า 400 คน มาร่วมเป็นกรรมการและพิจารณาเพื่อจำแนกและจัดระดับผลิตภัณฑ์ โดยจะมีการประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 10 มิถุนายน 2562 สำหรับกรณีผลิตภัณฑ์ที่ต้องทำการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการจะประกาศผลในวันที่ 25 มิถุนายน 2562
นายนิสิต กล่าวต่อว่า โครงการนี้ในทัศนะของตนถือว่า เป็นงานที่มีความสำคัญมากต่อพัฒนาการ ต่อการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ OTOP โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการส่งผลิตภัณฑ์เข้าร่วมเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 2ปีที่แล้วที่มีประมาณ 4,000 ราย เพิ่มขึ้นถึงกว่า 15,000 ราย สิ่งที่แตกต่างนี้แสดงว่า ผู้ประกอบการเริ่มเข้าใจแล้วว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขายสินค้านั้นเราต้องพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง ต้องมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ไม่เพียงแต่เนื้อหาของผลิตภัณฑ์ มาตรฐานและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งวันนี้มีหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมมากมาย
สิ่งที่แตกต่างอีกประการในปีนี้คือ เทรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสีที่ใช้ไม่เป็นพิษเป็นภัย สินค้าโอท็อปมีการพัฒนาโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่ใช้โฟมที่มีสารสไตรรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
นอกจากนี้ยังมีการ "Back to the school" คือ สนใจเรื่องราว รายละเอียด นำเอกลักษณ์ภูมิปัญญาไทยต่าง ๆมาพัฒนาลวดลาย ทำให้มีความร่วมสมัย และยังได้เห็นการพัฒนาสินค้า เล็ก ดี มีคุณภาพ น้ำหนักเบา เช่น แจกันใบใหญ่ เพื่อค้าขายทางอีคอมเมิร์ซ ออนไลน์
สำหรับการคัดสรรมีการพิจารณาถึงวันที่ 2 มิถุนายน ก่อนประกาศอย่างเป็นทางการ โดยมีกรรมการเป็นอาจารย์หลายแห่ง ร่วมกับหลายหน่วยงาน ปีนี้มีนโยบายก้าวสู่สากล นอกจากพัฒนาให้เล็ก ดีมีคุณภาพแล้ว ยังต้องเน้นการเป็นที่ต้องการและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภคด้วย ซึ่งความต้องการจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยที่ผ่านมากรมฯได้รับความกรุณาจากกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมพาไปขายในงานแฟร์นานาชาติของประเทศต่าง ๆ เช่น ที่ญี่ปุ่น จะสนใจผ้าย้อมคราม เครื่องเงิน เครื่องใช้สอยราคาไม่แพง ,ที่จีนสนใจผลไม้อบแห้ง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน ผ้าสีฉูดฉาดแฟชั่น และที่ฮังการีสนใจผ้าฝ้ายที่ใช้สีจากธรรมชาติ ดีไซเนอร์ให้ความสนใจและพัฒนาดีไซน์ร่วมกับผ้าจากสกลนครและ อุดรธานี เป็นต้น
"ผลิตภัณฑ์ที่ชนะเลิศนอกจากได้ขายในงานเอ็กโปร์นานาชาติแล้ว ยังมีโอกาสได้นำไปขายกับห้างสรรพสินค้าและโมเดิร์นเทรดสำคัญ ๆ หลายแห่งที่ให้ความร่วมมือกับกรมการพัฒนาชุมชน เช่น ไอคอนสยาม เซนทรัลเวิลด์ ส่วนที่ซีคอนสแคว์ได้ให้พื้นที่ขายฟรีเริ่มในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ซึ่งให้สินค้าออนบอร์ดมาขาย เพื่อให้รู้ว่า สินค้าโอท็อป ก้าวไกลขนาดไหนและจะเอาสินค้าโอท็อปที่ได้รับรางวัลมาขายด้วย
ในเร็ว ๆนี้ยังจะเปิดโอกาสให้ไปขายในงานOTOP Midyear 2019 ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 15-23 มิถุนายน 2562 ณ เมืองทองธานี ที่มีธีมจัดงาน "สร้างสรรค์ พัฒนานวัตกรรม" โดยเราจะเอางานที่มีนวัตกรรมไปแสดง เพื่อให้คนเห็นถึงศักยภาพของการพัฒนาของสินค้าโอท็อปเราว่า พัฒนาไปขนาดไหน ทั้งเรื่องแพ็คเกจจิ้ง ดีไซน์ เนื้อหาผลิตภัณฑ์ ความสะอาด ความปลอดภัย ความประณีต"
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนยังกล่าวอีกว่า เรายังมีการต่อยอดให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล โดยหากได้รับรางวัล3- 5 ดาวติดต่อกัน 3 ปีจะได้รับรางวัลพิเศษ ซิลเวอร์อวอร์ด,โกลด์อวอร์ด บรอนซ์อวร์ด เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้มีการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น
"โครงการนี้นับว่า ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันมีประชาชนให้ความนิยมผลิตภัณฑ์โอท็อปและปีนี้มีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าลงทะเบียนเพิ่มกว่า 3% และขณะนี้มีผู้ประกอบการโอท็อปในเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 87,143 กลุ่ม มีสินค้ามากกว่า 167,400 ผลิตภัณฑ์ และในปี 2561 มียอดขาย 194,000 ล้านบาท ในปี 2562นี้ ผู้ประกอบการท้าทายตัวเอง ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มยอดขายให้ได้ 20% ที่ประมาณ 230,000 ล้านบาท"
ส่วนการส่งออกนั้นมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ซึ่งเวลานี้กระทรวง ทบวง กรม มีการทำโอท็อปบิ๊กเดต้า ให้มีข้อมูล มีความสมบูรณ์ ขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์และมาตรฐาน เพื่อให้มีการค้าขายออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล
"จึงเชิญชวนให้มาร่วมกันใช้สินค้าโอท็อป ให้มาชมงาน OTOP Midyear 2019 ระหว่างวันที่ 15-3 มิถุนายน จะได้ซื้อสินค้าดี มีคุณภาพ สวยงาม ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ มาช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานราก รับประกันว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน"
สามารถเข้าเยี่ยมชมความสำเร็จของโครงการโอท็อป ที่ดำเนินมา19 ปีได้ตามวันและสถานที่ที่กำหนดในข้างต้นในเวลาราชการ 08.30 – 16.30 น.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น