วัย 3 – 6 ขวบ หรือปฐมวัย เป็นช่วงของการพัฒนาที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเด็กวัยนี้สมองจะเจริญเติบโตสูงสุด นั่นคือสมองส่วนหน้าจะมีบทบาทสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมเด็กปฐมวัยสู่โลกการเรียนรู้ที่จะพัฒนากระบวนการทางความคิด หากได้รับการกระตุ้น ฝึกฝน และพัฒนา จะเป็นพื้นฐานสำคัญนำไปสู่การมีชีวิตที่มีคุณภาพ ดังนั้นการศึกษาปฐมวัยถือเป็นก้าวแรกและเป็นรากฐานที่สำคัญของชีวิต
กว่า 10 ปีที่ ครูมาย ‘มนภัทร ด่านวชิรา’ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิด ได้มุ่งมั่นบ่มเพาะหล่อหลอมต้นกล้าน้อยๆ ให้เติบใหญ่อย่างมีคุณค่า ด้วยประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่รู้จริงทำจริง ไม่ใช่แค่ด้านวิชาการ แต่เป็นการเรียนรู้แบบองค์รวม “เด็กวัยนี้ จะมีความสดใส ร่าเริง และมีความมหัศจรรย์ด้วยสมองและความคิดของเขา มีความสนใจ สงสัย ใคร่รู้ตลอดเวลา โรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิดจึงจัดประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบ Project Approach เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้สนุกเล่น สนุกเรียน สนุกคิด โดยแต่ละกิจกรรม จะร่วมกันโหวตตามความสนใจของเด็กๆ ตามที่อยากรู้จริงๆ ซึ่งเด็กๆ มีข้อสงสัย ตั้งคำถาม แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง เด็กได้สัมผัสจับต้องจากของจริง มีการไปทัศนศึกษาตามเรื่องที่สนใจ ได้ซักถามจากผู้รู้เรื่องจริงในคำถามที่ตนเองสงสัย เพื่อเด็กๆ จะเข้าใจยิ่งขึ้น เพราะเป็นการเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบเด็กจึงสนุกที่จะค้นหาคำตอบ เสร็จแล้วนำมาเสนอหน้าชั้นเรียนเด็กจะสามารถอธิบายได้อย่างมั่นใจ เพราะเกิดจากสิ่งที่ได้ทำจริง
ดังนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้เกิดความสุขและเกิดความภาคภูมิใจที่สามารถทำได้ จะทำให้เขาจดจำไปนาน สิ่งเหล่านี้เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงออก กล้าคิด ลงมือกระทำเอง ฝึกการคิดและแก้ปัญหาด้วย ...การเรียนรู้แบบ Project Approach เด็กๆ จะได้รับการบูรณาการ ทั้งภาษาไทย คณิตศาสตร์ ศิลปะ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และสังคม คือรู้จักการรอคอย การแบ่งปัน การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักการเป็นผู้นำ ผู้ตาม และการร่วมมือช่วยเหลือเพื่อให้ทำกิจกรรมไปด้วยกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กๆ ได้รับการพัฒนาตามศักยภาพครบทุกด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา หากส่งเสริมวิชาการเพียงด้านเดียว จะเสียโอกาสในการพัฒนาสมองส่วนที่เกี่ยวข้องด้านไหวพริบ จินตนาการ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์...นอกจากนี้ในทุกขั้นตอนการเรียนรู้จะมีการสอดแทรกทักษะชีวิต EF (Executive Functions) และปลูกฝัง 7 Habits หรือ 7 อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ เข้าไปส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ด้วย เช่น การปลูกฝังให้เด็กรู้จักการควบคุมตนเอง การยั้งคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การเข้าใจผู้อื่นก่อนแล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา หรือการทำข้อตกลงแบบชนะ-ชนะ โดยคุณครูจะไม่ได้ออกคำสั่งแต่จะให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น เด็กๆ อยากให้ห้องสะอาดจะต้องทำอย่างไรบ้าง เด็กก็จะตอบว่า ทิ้งขยะลงถัง เล่นของเล่นแล้วต้องเก็บ เหล่านี้เป็นข้อตกลงที่มาจากเด็กๆ
..และที่สำคัญ การสานสัมพันธ์ระหว่างทางโรงเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ ที่ได้ร่วมมือกับครูสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กในทุกรูปแบบให้ไปในทิศทางเดียวกัน ทางโรงเรียนมีการสื่อสารกับผู้ปกครองในสิ่งที่เด็กๆ ได้เรียนรู้ ผู้ปกครองสามารถต่อยอดการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่บ้านนับเป็นกิจกรรมครอบครัวในวันหยุดได้ เช่นเด็กๆ ได้ขุดดินปลูกกล้วยที่โรงเรียน ระหว่างที่ขุดดินได้เจอก้อนหิน หลอด กำไล ไส้เดือน เด็กๆ สงสัยว่าถ้าไปขุดดินที่บ้านจะเจออะไรบ้าง หรือเรียนเรื่องถั่ว อาจจะมีการบ้านให้ผู้ปกครองและเด็กๆ สำรวจว่าในตู้เย็นมีอาหารอะไรที่ทำจากถั่วบ้าง ดังนั้นในการเรียนรู้ต่างๆ จะมีพ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนในกิจกรรมต่างๆ กับเด็กๆ อย่างสม่ำเสมอ เพราะเราเชื่อว่าสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งระหว่างบ้านและโรงเรียนจะสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับเด็กนั่นเอง” วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างสนุกและมีความสุขทุกๆ วัน จนจบภาคการศึกษา บ้านสนุกคิดจึงจัดเวทีให้เด็กๆ ได้แสดงความสามารถด้วยรูปแบบการแสดงที่หลากหลายมีทั้งการแสดงละคร การร้องเพลง การเต้นประกอบเพลง
การแสดงบัลเลต์ เทควันโด้ พร้อมกับร่วมยินดีกับพี่ๆ อนุบาล 3 ที่สำเร็จการศึกษาระดับปฐมวัยพร้อมจะก้าวสู่โลกใบใหม่...งานนี้เด็กๆ ได้มอบความสุขให้ผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่มาร่วมเชียร์ลูกๆ หลานๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกันถ้วนหน้านิภัทร์ กำจรปรีชา นักร้อง-มือกีตาร์แห่งวง The Parkinson คุณพ่อน้องคิน น้องคีย์-น้องคเล็ฟ พูดถึงความรู้สึกว่า ประทับใจกับโรงเรียนแห่งนี้ “ตอนที่พาลูกมาโรงเรียนครั้งแรก เห็นคุณครูดูแลเอาใจใส่ลูก ลูกมีความสุข คิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับลูก โอเคเลย พอเปิดเรียน เขามาโรงเรียน ไม่ร้องไห้ เขาสบายใจ มีความสุขที่โรงเรียน แสดงว่า วิธีการเรียนการสอน Open ทำให้เขาสนุกที่จะมาโรงเรียนทุกๆ วัน”
คุณแม่น้องคิน พันสา วัชรวิวรรณ เสริมว่า ยอมรับว่าครูที่นี่เอาใจใส่ลูกจริงๆ บอกว่าลูกมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ซึ่งตอนแรกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่คุณครูก็กำชับและย้ำว่าควรรีบไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ก็เลยพาไป หลังจากที่ได้เข้ารับการฝึกไม่นานน้องก็ดีขึ้นจริงๆ จากเด็กที่อยู่ในโลกส่วนตัว ก็กลับมามีปฏิสัมพันธ์ เข้าสังคม พูดคุย สื่อสารได้ “ประทับใจที่นี่ เลยเอาลูกแฝดสองคนมาเรียนด้วยกัน อยู่เนอร์สเซอรี่ น้องคินอยู่อนุบาล 2 ลูกมาเรียนที่นี่ได้พัฒนาการมากในเรื่อง การรู้จักแบ่งปัน การต่อคิว รู้จักฟังคำสั่ง แล้วลูกๆ มีความสุขมากชอบที่จะมาโรงเรียนค่ะ”
พิชชาณัชญ์ รุ่งแสง คุณแม่น้องชินจัง-ณัฏฐากร บอกเล่าถึงความประทับใจในความเล็กแต่มีดีของโรงเรียน“คำนึงถึงความปลอดภัยของลูก ที่นี่ไม่จอแจ สามารถที่จะจอดรถลงมาส่งลูกถึงโรงเรียน ทำให้รู้สึกดี แล้วเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่น่ารัก ทำให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคุณครูอย่างดี เพราะลูกชายซนมาก มาเรียนแค่ 1 เดือนนิสัยเปลี่ยนเลยค่ะ มีระเบียบวินัย นิ่งขึ้น พูดจาเพราะ ไหว้สวยด้วย และดีที่สุดคือ ลูกเป็นคนมีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน แล้วทำให้เขาเป็นคนรู้จักคิด..และประทับใจอีกเรื่องคือ ลูกกล้าแสดงออก จากหลักสูตร Project Approach จะมีการโหวตกันในห้องว่าเด็กสนใจจะเรียนเรื่องอะไรกัน ตอนนั้นก็โหวตกันได้เรียนเรื่องยีราฟ แบบเจาะลึกกันเลย เสร็จแล้วจะมาพรีเซ้นต์กัน จบโปรเจ็คท์นี้ ก็จะมีนิทรรศการเขาจะพาชมและอธิบายให้ฟัง ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ จึงประทับใจโครงการนี้มาก คุณครูทุ่มเทเพื่อความรู้ของเด็กจริงๆ อะไรที่ไม่รู้ก็หาข้อมูลมาเล่ามาบอกเด็กๆ ให้รู้ ไม่คิดว่าโปรเจ็คท์เด็กๆ จะทำได้ดีขนาดนี้ค่ะ”
ทวีศักดิ์ วรรัตน์ชัยกุล คุณพ่อของน้องอบอุ่น-ด.ช.พชร วัย 4 ขวบ อนุบาล 1 บอกว่า เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้ว มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น “เขาจะค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ มีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ของตนเอง แต่งตัวเองได้ ถอดเสื้อผ้าเองได้ พออนุบาล 1 เทอมสอง เซอร์ไพรส์มาก กล้าคิดกล้าแสดงออก แล้วมีจินตนาการมาก สามารถจะนำนิทานในเรื่องต่างๆ มาผสมมิกซ์แอนด์แม็ทช์เป็นเรื่องราวใหม่ได้ด้วย และในเรื่องของภาษาอังกฤษจะพัฒนามาก จะอยากเล่า พูดเป็นประโยคภาษาอังกฤษ...และ ครอบครัวเราได้นำเอา 7 Habits มาใช้กับลูกที่บ้านด้วย โดยจะมีข้อตกลงกัน เช่น ถ้าเขาอยากดูทีวี หรือจะเล่นอะไร จะถามลูกว่า เราต้องทำสิ่งที่สำคัญก่อน และถามลูกว่าคืออะไร ลูกก็จะบอกว่าทำการบ้านก่อน แล้วค่อยดูทีวีหรือจะเล่นได้นานแค่ไหน และถ้าหากเกิดปัญหาก็จะมีการปรับไปตามเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย หรือหากทำดีก็จะให้ดาวสะสมคะแนน ถ้าได้ 30 ดาว ก็จะได้ชุด Super Hero หรือใช้คะแนนแลกไปเท่าไร ก็จะเหลือคะแนนสะสมต่อได้”
สรัญญา ผาดผ่อง คุณแม่ของน้องมิวนิก – ศรัณย์ภัทร เจริญเตีย วัย 4 ขวบ อนุบาล 1 กล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ลูกน้อยได้มีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด“กลุ้มใจมากลูกไม่ยอมพูด 2 ขวบ 6 เดือนแล้ว ได้ไปปรึกษาคุณหมอมามากมายลูกก็ไม่ยอมพูด แต่พอเอาลูกมาเข้าเรียนที่นี่ แล้วด้วยแนวคิดการเรียนรู้ของโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกทำให้เด็กๆ ได้สนุกเล่น สนุกเรียน สนุกคิด พร้อมทั้งทางโรงเรียนได้ดูแลลูก คุณครูเอาใจใส่ลูกผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ จนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แล้วลูกมีความสุข จนผ่านไป 2 – 3 เดือน ลูกพูดแล้ว รู้สึกประทับใจมาก แล้วต่อมาลูกก็พูดไม่หยุด จนวันนี้พูดมาก รู้สึกแฮปปี้มากๆ ค่ะ...แล้วลูกพูดภาษาอังกฤษได้ก่อนภาษาไทย พูดคำง่ายๆ ‘Good Morning’ ‘Go Home’ และเวลาไปไหน เขาจะอ่านป้ายบอกทางคำภาษาอังกฤษ เขาอ่านได้ ทั้งๆ ที่คุณครูยังไม่ได้สอนเลย ลูกพัฒนาดีมาก โอเคเลยค่ะ ผ่านมา 2 ปี ลูกเก่งขึ้น เกินเป้าหมายของเราเยอะมาก”
เทิดเกียรติ์ วิรัตินันท์ คุณพ่อน้องออเดอร์ – ปุณิกา วิรัตินันท์ วัย 5 ขวบ อนุบาล 2 เล่าว่า ลูกเข้ามาเรียนตั้งแต่เนอร์ส เซอรี่ “ลูกมาเรียนที่นี่ สิ่งที่เราคาดหวังคือ ขอให้ลูกมีความสุข ไม่ต้องเคร่งเครียดกับวิชาการมากมาย แต่ปลายทางจะได้วิชาการควบคู่ไปด้วยกันเมื่อจบแล้ว ...แต่สิ่งที่โรงเรียนนี้ให้ก็คือ Posittive Thinking ทางด้านความคิดสร้างสรรค์เชิงบวกทำให้ลูกมีอิสระทางความคิด และมีกระบวนการความคิด ทั้งสามารถที่จะดูแลตัวเองและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข”
ศิริทิพย์ อุ่นอนุโลม คุณย่าของหลานแฝดสาม น้องแทม-ทาม-ทิพ เล่าว่า การเลือกโรงเรียนมีความสำคัญมากในวัยเด็กเล็กหรือปฐมวัย ต้องเลือกเรียนโรงเรียนใกล้บ้านดีที่สุด แล้วเด็กจะมีความสุข “ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ขงหลานได้มาปรึกษาว่าจะเลือกโรงเรียนไหนให้ลูกดี ก็บอกว่าให้เลือกที่ใกล้บ้านดีกว่า และพอดีได้มาพูดคุยกับครูมาย-เจ้าของโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิด เห็นแนวความคิดที่ให้เด็กๆ ไม่เน้นเรียนมาก แต่ให้เด็กได้เล่นได้สนุกจะเกิดกระบวนการเรียนรู้เอง คิดว่าน่าจะเหมาะกับหลานๆ เลยส่งมาเรียนเนอร์สเซอรี่ทั้ง 3 คนเลย เรียนได้ 1 เดือนก็เข้าอนุบาล 1 ก็เปลี่ยนแปลง มีพัฒนาการที่ดีขึ้น อยากไปโรงเรียนทุกๆ วัน และมีความสุขที่ได้อยู่โรงเรียน”
เดชพิศิษฐ์ ไตรรัตนานาถ คุณพ่อน้องบรู๊คลิน – คุณานนท์ บอกเล่าความประทับใจในโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิดว่า ‘บ้านที่เป็นโรงเรียน โรงเรียนที่เป็นบ้าน’“เพราะเข้ามาสามารถที่จะดูลูกทำกิจกรรม เจอครู เจอคุณป้า สามารถคุยได้กับทุกคน ได้ความสนิทสนม ความใกล้ชิด เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน...ลูกเข้ามาตั้งแต่เนอร์สเซอรี่ 2 ขวบ พูดน้อย พอจบเนอร์สเซอรี่กล้าแสดงออกมากขึ้น มีวินัยตัวเองมากขึ้น และกล้าพูดมากขึ้น ปัจจุบันกำลังจะเลื่อนชั้นเป็นอนุบาล 2 น้องชอบสนทนาภาษาอังกฤษ เพราะครูประจำชั้นเป็นต่างชาติ อยู่ด้วยกันทั้งวัน ทำให้ลูกสามารถเล่าเรื่องราวเป็นภาษาอังกฤษได้ และสำหรับ Project Approach ทำให้เด็กกล้าที่จะออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน และมีทัศนคติที่ดี สามารถจัดการความคิดเป็นระบบ หากมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถแก้ไขได้ โดยโปรเจ็คท์นี้นักเรียนจะช่วยกันเบรนสตรอมว่าจะเรียนในหัวข้ออะไร แล้วนำเสนอ โหวตกันได้การเรียนรู้เรื่อง ‘องุ่น’ ต้องมีการวางแผนความคิดเป็นระบบ เชิงลึก แล้วหาที่มา วิธีการ หาข้อมูลปลูกอย่างไร เมื่อได้ผลผลิต จะนำมาแปรรูปเป็นอะไรได้บ้าง กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ลูกมีความสุขทุกวัน และทุกๆ วันลูกอยากมาโรงเรียน” น้องบรู๊คลิน - คุณานนท์ ไตรรัตนานาถ วัย 4 ขวบ เล่าด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “ ชอบมาโรงเรียนมาก มีเพื่อนๆ ได้เล่น ได้สนุก แล้วชอบอ่านหนังสือนิทาน ที่โรงเรียนมีนิทานเยอะ ดูภาพดูเรื่องสนุกมากครับ และวันนี้มีความสุขมากเลยครับ ได้เต้นด้วย แล้วจะไปเต้นกับเพื่อนๆ ก่อนนะครับ เพลงมาแล้ว”
น้องพราว – ปุญญาดา ทรงความดี วัย 6 ขวบ ยิ้มหวานด้วยความสุขใจ บอกว่า “หนูเรียนบ้านสนุกคิดสนุกมากมีความสุข ชอบเรียนวิชาศิลปะ ได้วาดรูป ได้ระบายสี และชอบภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย แล้วเรียนบัลเล่ต์และเทควันโด ชอบเพราะเข้มแข็งดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง...ตอนนี้หนูจบอนุบาล 3 แล้วค่ะ กำลังจะไปเข้า ป. 1 เลือกโรงเรียนใกล้ๆ บ้านค่ะ จะได้เดินทางไม่เหนื่อย ไปแล้วก็คิดถึงโรงเรียน แล้วซัมเมอร์หนูจะกลับมาเยี่ยมโรงเรียนและคุณครูค่ะ”น้องไออุ่น – ภคิน ตันวินิตกุล วัย 6 ขวบ จบอนุบาล 3 บอกว่า อยากเป็นเชฟ“ผมชอบทำอาหาร ทำข้าวผัด คุณพ่อก็ช่วย แล้วดีใจที่ได้ทำโปรเจ็คท์ ‘ซูชิ’ ผมชอบกินมาก แล้วได้ทำจริงๆ มีข้าวและไส้หน้าต่างๆ มีปลา มีประโยชน์ต่อร่างกาย...ตอนทำสนุกมาก ทำกับเพื่อนๆ ได้ความรู้มากมาย รู้ความเป็นมา รู้ส่วนประกอบ แล้วรู้การทำข้าวปั้นซูชิด้วย แล้วยังได้ไปทัศนศึกษาที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านซูชิเด็น ได้รับความรู้และได้กินซูชิด้วย อร่อยมากครับ”
มาเปิดโลกกว้างสู่การเรียนรู้ ‘สนุกเล่น สนุกเรียน สนุกคิด’ อย่างมีความสุขกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.baansanookkid.com หรือ โทร. 02 728 2238
กว่า 10 ปีที่ ครูมาย ‘มนภัทร ด่านวชิรา’ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิด ได้มุ่งมั่นบ่มเพาะหล่อหลอมต้นกล้าน้อยๆ ให้เติบใหญ่อย่างมีคุณค่า ด้วยประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่รู้จริงทำจริง ไม่ใช่แค่ด้านวิชาการ แต่เป็นการเรียนรู้แบบองค์รวม “เด็กวัยนี้ จะมีความสดใส ร่าเริง และมีความมหัศจรรย์ด้วยสมองและความคิดของเขา มีความสนใจ สงสัย ใคร่รู้ตลอดเวลา โรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิดจึงจัดประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบ Project Approach เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้สนุกเล่น สนุกเรียน สนุกคิด โดยแต่ละกิจกรรม จะร่วมกันโหวตตามความสนใจของเด็กๆ ตามที่อยากรู้จริงๆ ซึ่งเด็กๆ มีข้อสงสัย ตั้งคำถาม แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง เด็กได้สัมผัสจับต้องจากของจริง มีการไปทัศนศึกษาตามเรื่องที่สนใจ ได้ซักถามจากผู้รู้เรื่องจริงในคำถามที่ตนเองสงสัย เพื่อเด็กๆ จะเข้าใจยิ่งขึ้น เพราะเป็นการเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบเด็กจึงสนุกที่จะค้นหาคำตอบ เสร็จแล้วนำมาเสนอหน้าชั้นเรียนเด็กจะสามารถอธิบายได้อย่างมั่นใจ เพราะเกิดจากสิ่งที่ได้ทำจริง
ดังนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้เกิดความสุขและเกิดความภาคภูมิใจที่สามารถทำได้ จะทำให้เขาจดจำไปนาน สิ่งเหล่านี้เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงออก กล้าคิด ลงมือกระทำเอง ฝึกการคิดและแก้ปัญหาด้วย ...การเรียนรู้แบบ Project Approach เด็กๆ จะได้รับการบูรณาการ ทั้งภาษาไทย คณิตศาสตร์ ศิลปะ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และสังคม คือรู้จักการรอคอย การแบ่งปัน การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักการเป็นผู้นำ ผู้ตาม และการร่วมมือช่วยเหลือเพื่อให้ทำกิจกรรมไปด้วยกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กๆ ได้รับการพัฒนาตามศักยภาพครบทุกด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา หากส่งเสริมวิชาการเพียงด้านเดียว จะเสียโอกาสในการพัฒนาสมองส่วนที่เกี่ยวข้องด้านไหวพริบ จินตนาการ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์...นอกจากนี้ในทุกขั้นตอนการเรียนรู้จะมีการสอดแทรกทักษะชีวิต EF (Executive Functions) และปลูกฝัง 7 Habits หรือ 7 อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ เข้าไปส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ด้วย เช่น การปลูกฝังให้เด็กรู้จักการควบคุมตนเอง การยั้งคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การเข้าใจผู้อื่นก่อนแล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา หรือการทำข้อตกลงแบบชนะ-ชนะ โดยคุณครูจะไม่ได้ออกคำสั่งแต่จะให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น เด็กๆ อยากให้ห้องสะอาดจะต้องทำอย่างไรบ้าง เด็กก็จะตอบว่า ทิ้งขยะลงถัง เล่นของเล่นแล้วต้องเก็บ เหล่านี้เป็นข้อตกลงที่มาจากเด็กๆ
การแสดงบัลเลต์ เทควันโด้ พร้อมกับร่วมยินดีกับพี่ๆ อนุบาล 3 ที่สำเร็จการศึกษาระดับปฐมวัยพร้อมจะก้าวสู่โลกใบใหม่...งานนี้เด็กๆ ได้มอบความสุขให้ผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่มาร่วมเชียร์ลูกๆ หลานๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกันถ้วนหน้านิภัทร์ กำจรปรีชา นักร้อง-มือกีตาร์แห่งวง The Parkinson คุณพ่อน้องคิน น้องคีย์-น้องคเล็ฟ พูดถึงความรู้สึกว่า ประทับใจกับโรงเรียนแห่งนี้ “ตอนที่พาลูกมาโรงเรียนครั้งแรก เห็นคุณครูดูแลเอาใจใส่ลูก ลูกมีความสุข คิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับลูก โอเคเลย พอเปิดเรียน เขามาโรงเรียน ไม่ร้องไห้ เขาสบายใจ มีความสุขที่โรงเรียน แสดงว่า วิธีการเรียนการสอน Open ทำให้เขาสนุกที่จะมาโรงเรียนทุกๆ วัน”
คุณแม่น้องคิน พันสา วัชรวิวรรณ เสริมว่า ยอมรับว่าครูที่นี่เอาใจใส่ลูกจริงๆ บอกว่าลูกมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ซึ่งตอนแรกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่คุณครูก็กำชับและย้ำว่าควรรีบไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ก็เลยพาไป หลังจากที่ได้เข้ารับการฝึกไม่นานน้องก็ดีขึ้นจริงๆ จากเด็กที่อยู่ในโลกส่วนตัว ก็กลับมามีปฏิสัมพันธ์ เข้าสังคม พูดคุย สื่อสารได้ “ประทับใจที่นี่ เลยเอาลูกแฝดสองคนมาเรียนด้วยกัน อยู่เนอร์สเซอรี่ น้องคินอยู่อนุบาล 2 ลูกมาเรียนที่นี่ได้พัฒนาการมากในเรื่อง การรู้จักแบ่งปัน การต่อคิว รู้จักฟังคำสั่ง แล้วลูกๆ มีความสุขมากชอบที่จะมาโรงเรียนค่ะ”
พิชชาณัชญ์ รุ่งแสง คุณแม่น้องชินจัง-ณัฏฐากร บอกเล่าถึงความประทับใจในความเล็กแต่มีดีของโรงเรียน“คำนึงถึงความปลอดภัยของลูก ที่นี่ไม่จอแจ สามารถที่จะจอดรถลงมาส่งลูกถึงโรงเรียน ทำให้รู้สึกดี แล้วเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่น่ารัก ทำให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคุณครูอย่างดี เพราะลูกชายซนมาก มาเรียนแค่ 1 เดือนนิสัยเปลี่ยนเลยค่ะ มีระเบียบวินัย นิ่งขึ้น พูดจาเพราะ ไหว้สวยด้วย และดีที่สุดคือ ลูกเป็นคนมีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน แล้วทำให้เขาเป็นคนรู้จักคิด..และประทับใจอีกเรื่องคือ ลูกกล้าแสดงออก จากหลักสูตร Project Approach จะมีการโหวตกันในห้องว่าเด็กสนใจจะเรียนเรื่องอะไรกัน ตอนนั้นก็โหวตกันได้เรียนเรื่องยีราฟ แบบเจาะลึกกันเลย เสร็จแล้วจะมาพรีเซ้นต์กัน จบโปรเจ็คท์นี้ ก็จะมีนิทรรศการเขาจะพาชมและอธิบายให้ฟัง ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ จึงประทับใจโครงการนี้มาก คุณครูทุ่มเทเพื่อความรู้ของเด็กจริงๆ อะไรที่ไม่รู้ก็หาข้อมูลมาเล่ามาบอกเด็กๆ ให้รู้ ไม่คิดว่าโปรเจ็คท์เด็กๆ จะทำได้ดีขนาดนี้ค่ะ”
สรัญญา ผาดผ่อง คุณแม่ของน้องมิวนิก – ศรัณย์ภัทร เจริญเตีย วัย 4 ขวบ อนุบาล 1 กล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ลูกน้อยได้มีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด“กลุ้มใจมากลูกไม่ยอมพูด 2 ขวบ 6 เดือนแล้ว ได้ไปปรึกษาคุณหมอมามากมายลูกก็ไม่ยอมพูด แต่พอเอาลูกมาเข้าเรียนที่นี่ แล้วด้วยแนวคิดการเรียนรู้ของโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกทำให้เด็กๆ ได้สนุกเล่น สนุกเรียน สนุกคิด พร้อมทั้งทางโรงเรียนได้ดูแลลูก คุณครูเอาใจใส่ลูกผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ จนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แล้วลูกมีความสุข จนผ่านไป 2 – 3 เดือน ลูกพูดแล้ว รู้สึกประทับใจมาก แล้วต่อมาลูกก็พูดไม่หยุด จนวันนี้พูดมาก รู้สึกแฮปปี้มากๆ ค่ะ...แล้วลูกพูดภาษาอังกฤษได้ก่อนภาษาไทย พูดคำง่ายๆ ‘Good Morning’ ‘Go Home’ และเวลาไปไหน เขาจะอ่านป้ายบอกทางคำภาษาอังกฤษ เขาอ่านได้ ทั้งๆ ที่คุณครูยังไม่ได้สอนเลย ลูกพัฒนาดีมาก โอเคเลยค่ะ ผ่านมา 2 ปี ลูกเก่งขึ้น เกินเป้าหมายของเราเยอะมาก”
ศิริทิพย์ อุ่นอนุโลม คุณย่าของหลานแฝดสาม น้องแทม-ทาม-ทิพ เล่าว่า การเลือกโรงเรียนมีความสำคัญมากในวัยเด็กเล็กหรือปฐมวัย ต้องเลือกเรียนโรงเรียนใกล้บ้านดีที่สุด แล้วเด็กจะมีความสุข “ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ขงหลานได้มาปรึกษาว่าจะเลือกโรงเรียนไหนให้ลูกดี ก็บอกว่าให้เลือกที่ใกล้บ้านดีกว่า และพอดีได้มาพูดคุยกับครูมาย-เจ้าของโรงเรียนอนุบาลบ้านสนุกคิด เห็นแนวความคิดที่ให้เด็กๆ ไม่เน้นเรียนมาก แต่ให้เด็กได้เล่นได้สนุกจะเกิดกระบวนการเรียนรู้เอง คิดว่าน่าจะเหมาะกับหลานๆ เลยส่งมาเรียนเนอร์สเซอรี่ทั้ง 3 คนเลย เรียนได้ 1 เดือนก็เข้าอนุบาล 1 ก็เปลี่ยนแปลง มีพัฒนาการที่ดีขึ้น อยากไปโรงเรียนทุกๆ วัน และมีความสุขที่ได้อยู่โรงเรียน”
น้องพราว – ปุญญาดา ทรงความดี วัย 6 ขวบ ยิ้มหวานด้วยความสุขใจ บอกว่า “หนูเรียนบ้านสนุกคิดสนุกมากมีความสุข ชอบเรียนวิชาศิลปะ ได้วาดรูป ได้ระบายสี และชอบภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย แล้วเรียนบัลเล่ต์และเทควันโด ชอบเพราะเข้มแข็งดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง...ตอนนี้หนูจบอนุบาล 3 แล้วค่ะ กำลังจะไปเข้า ป. 1 เลือกโรงเรียนใกล้ๆ บ้านค่ะ จะได้เดินทางไม่เหนื่อย ไปแล้วก็คิดถึงโรงเรียน แล้วซัมเมอร์หนูจะกลับมาเยี่ยมโรงเรียนและคุณครูค่ะ”น้องไออุ่น – ภคิน ตันวินิตกุล วัย 6 ขวบ จบอนุบาล 3 บอกว่า อยากเป็นเชฟ“ผมชอบทำอาหาร ทำข้าวผัด คุณพ่อก็ช่วย แล้วดีใจที่ได้ทำโปรเจ็คท์ ‘ซูชิ’ ผมชอบกินมาก แล้วได้ทำจริงๆ มีข้าวและไส้หน้าต่างๆ มีปลา มีประโยชน์ต่อร่างกาย...ตอนทำสนุกมาก ทำกับเพื่อนๆ ได้ความรู้มากมาย รู้ความเป็นมา รู้ส่วนประกอบ แล้วรู้การทำข้าวปั้นซูชิด้วย แล้วยังได้ไปทัศนศึกษาที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านซูชิเด็น ได้รับความรู้และได้กินซูชิด้วย อร่อยมากครับ”
มาเปิดโลกกว้างสู่การเรียนรู้ ‘สนุกเล่น สนุกเรียน สนุกคิด’ อย่างมีความสุขกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.baansanookkid.com หรือ โทร. 02 728 2238
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น